แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารในอินเดีย ปี 2566 – 67

แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารในอินเดีย ปี 2566 – 67

วันที่นำเข้าข้อมูล 11 ม.ค. 2567

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 12 ม.ค. 2567

| 1,398 view

Food  

นักวิเคราะห์ประเมินว่า อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติมโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะมีมูลค่า 4.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 หรือเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 80 ในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหนุนต่าง ๆ เช่น 1) กลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2) ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และต้องการตัวเลือกที่คุณภาพสูงและหลากหลาย 3) ชุมชนเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วเปิดโอกาสให้ธุรกิจฟู๊ดเดลิเวอรี่และอาหารกึ่งสำเร็จรูปเป็นที่ต้องการมากขึ้น และ 4) รัฐบาลอินเดียมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารเพื่อเพิ่มการการส่งออกสินค้าอาหารสู่ตลาดโลก

เราลองมาดูกันว่า นักวิเคราะห์มองแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอินเดีย ปี 2566 – 67 อย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางกลยุทธ์รุกตลาดอินเดียต่อไปสำหรับผู้ประกอบการไทยต่อไป

1) วัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นจะได้รับความสนใจมีมากขึ้น – อินเดียเป็นประเทศใหญ่ที่มีวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นที่หลากหลายและเป็นที่รู้จักในเวทีนานาชาติมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คนอินเดียยุคใหม่หันกลับมาสนใจเรียนรู้รากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเอง และมีความพิถีพิถันในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น โดยอาหารแนวคราฟท์ หรือสไตล์ Chef’s Table มีแนวโน้มเป็นที่นิยมมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับเชฟหรือคอนเท้นท์ครีเอเตอร์ด้านอาหารที่มีชื่อเสียงในกลุ่มคนอินเดียรุ่นใหม่ ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจในการนำเสนอความเป็นไทยให้เข้ากับความชื่นชอบของคนอินเดีย  

2) อาหารชวนคิดถึงวันวาน (nostalgia) จะได้รับความนิยมมากขึ้น – เป็นผลจากกลุ่มคน Gen-X และ Gen-Y (millennium) อยู่ในวัยทำงานที่มีรายได้สูง มีแนวโน้มเลือกบริโภคอาหารที่ทำให้รำลึกถึงความสุขในวัยเด็กในอดีต รวมทั้งอาหารที่ให้ความรู้สึกโฮมเมดหรือเป็นสูตรโบราณดั้งเดิม ในขณะที่อาหารแนวยุคใหม่อาจให้ความรู้สึกจำเจและไม่มีเรื่องราว (no storytelling) ผู้ประกอบการจึงอาจให้ความสำคัญกับมิติ nostalgia ในการทำการตลาดและกำหนดภาพลักษณ์ของสินค้าด้วย

3) ซอสจิ้มและเครื่องปรุงรสใหม่ ๆ จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น – สืบเนื่องจากที่คนอินเดียนิยมรับประทานของทานเล่นโดยเฉพาะของทอด และรับประทานอาหารจานหลักควบคู่กับเครื่องปรุงรส เช่น ชัทนี่ (chutney) ซอสจิ้มและเครื่องปรุงรสใหม่ ๆ จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกในการนำเสนอรสชาติอาหารไทยเพื่อสร้างสีสันให้กับอาหารประจำวัน อีกทั้งคนอินเดียคุ้นเคยกับซอสต่าง ๆ ของไทยอยู่แล้ว เช่น น้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มสะเต๊ะ ซอสมะขาม และซอสศรีราชา

4) สินค้าของทานเล่นมีอนาคตสดใส – คนอินเดียนิยมรับประทานของทานเล่นระหว่างมื้อ หรือพักเบรกดื่มชา ซึ่งรวมถึงซาโมซ่า (คล้ายกะหรี่ปั๊บ) เกี๊ยวสไตล์จีน (คนอินเดียเรียกว่าโมโม่) ข้าวฟอง/ถั่วคลุกเครื่องเทศ (chivda) คุกกี้ เค้ก และขนมเบเกอรี่ต่าง ๆ โดยมีแนวโน้มที่ของทานเล่นที่ปรุงได้ง่ายไม่ยุ่งยาก และมีคุณค่าทางโภชนาการจะได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น สินค้าสำเร็จรูปแช่แข็ง การนำเสนอรสชาติใหม่ ๆ จากต่างวัฒนธรรม การใช้วิธีอบแทนการทอด การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและทำจากพืช (plant-based) การงดการใช้สารเคมีปรุงแต่ง และการเสริมวิตามินและแร่ธาตุ       

5) ของหวานต้องมีคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพด้วย – แม้ของหวานอินเดียมักขึ้นชื่อว่า หวานจัดจนแสบคอ แต่คนอินเดียก็มีความระมัดระวังมากขึ้นในการรับประทานของหวาน โดยนิยมบริโภคของหวานที่ 1) ใช้สารให้ความหวานจากธรรมชาติ เช่น น้ำตาลปี๊บทำจากอ้อย (jaggery/gur) หญ้าหวาน และน้ำผึ้ง 2) ใช้ธัญพืชที่อุดมด้วยไฟเบอร์ เช่น ข้าวฟ่าง (millet) และเมล็ดบัวอบพอง (makhana) โดยเฉพาะข้าวฟ่างเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดีและมีโภชนาการสูง รัฐบาลอินเดียจึงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวฟ่างมากขึ้นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งได้เสนอให้สหประชาชาติรับรองให้ปี 2566 เป็นปีข้าวฟ่างสากล (International Millet Year) อีกด้วย และ 3) แบ่งรับประทานพอดีหนึ่งหน่วยบริโภค (single portion) เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี่ได้สะดวกขึ้น

6) การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (gastronomy tourism) – คนอินเดียยุคใหม่มีประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศ   และมีทัศนคติเปิดกว้างกับวัฒนธรรมอาหารแปลกใหม่มากขึ้น โดยอาหารต่างชาติที่อินเทรนด์มักผูกโยงกับ “ซอฟต์พาวเวอร์” และ “การเล่าเรื่อง (storytelling)” ของประเทศนั้น ๆ ได้แก่ 1) สื่อบันเทิงที่เป็นที่นิยม โดยเฉพาะอาหารเกาหลีที่มาแรงในระยะหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากความนิยมละครเกาหลี และดนตรี K-pop 2) การสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านสตรีทฟู๊ด นักท่องเที่ยวยุคปัจจุบันต้องการประสบการณ์ของแท้ที่ไม่ปรุงแต่ง (authentic) และความรู้สึกได้ผจญภัยลิ้มลองสิ่งแปลกใหม่ด้วยตนเอง 3) การนำเสนอผ่านสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะ Netflix ซึ่งคนอินเดียจำนวนไม่น้อยรู้จักไข่เจียวปูเจ๊ไฝจากรายการ Street Food: Asia และความสำเร็จในระดับโลกของเจ๊ไฝเป็นแรงบันดาลใจให้คนอินเดียหันมาส่งเสริมอาหารอินเดียให้เป็นที่รู้จักในเวทีโลกมากขึ้น และ 4) การเปิดจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวใหม่ ๆ สำหรับคนอินเดีย เช่น เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่คนอินเดียเสิร์ชกูเกิ้ลมากที่สุดในปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารใหม่ ๆ ของนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย

7) อาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา รัฐบาลอินเดียออกนโยบายห้ามและลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงถุงหิ้ว บรรจุภัณฑ์อาหาร จาน ถ้วย ช้อนส้อม หลอดดื่มน้ำ และพลาสติกห่ออาหาร ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นอย่างดี เช่น ห้างสรรพสินค้างดแจกถุงหิ้วพลาสติก แอพพลิเคชั่นสั่งอาหารมีเมนูให้เลือกไม่รับช้อนส้อมพลาสติกได้ และร้านอาหารหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ทำจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อมสลายได้ ดังนั้น คนอินเดียจึงมีความคาดหวังให้ผู้ประกอบการแสดงความใส่ใจในมิติสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาสินค้าอาหารด้วย

แนวโน้มข้างต้นสะท้อนถึงทัศนคติของผู้บริโภคชาวอินเดียที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและพร้อมจะทดลองรับประทานอาหารแปลกใหม่ที่มาแรงตามกระแสสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ประกอบการไทยควรใช้ประโยชน์จาก 1) ความนิยมอาหารไทยที่มีอยู่แล้ว เช่น แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ต้มข่า ส้มตำ ผัดไทย ซึ่งเป็นเมนูที่ขาดไม่ได้สำหรับคนอินเดีย และอาจนำรสชาติไปประยุกต์เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยว 2) ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน/แช่แข็งของไทยที่มีคุณภาพสูง เช่น ข้าวสวยพร้อมกับข้าว ขนมจีบ ลูกชิ้น เกี๊ยว ซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในอินเดีย และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติจากร้านสะดวกซื้อ และ 3) สตรีทฟู๊ดที่มีชื่อเสียง ซึ่งเจ๊ไฝเป็นตัวอย่างที่ดี โดยผู้ประกอบการอาจร่วมมือกับเชฟ/ร้านอาหารเก่าแก่/ร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชิลิน ในการสร้างเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

ในห้วงปี 2566 ที่ผ่านมา สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา ได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความนิยมอาหารไทยและเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าอาหารไทยมาอินเดียมากขึ้น เช่น 1) เทศกาลส่งเสริมอาหารและผลไม้ไทย “Thailand Food and Fruit Fiesta 2023” ณ ซุปเปอร์มาร์เก็ต Spencer’s, South City Mall โดยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี และ 2) การจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการประกอบ  อาหารไทยกับสถาบัน International Institute of Hotel Management (IIHM) และมหาวิทยาลัย Sister Nivedita ซึ่งได้เชิญฟู๊ดบลอกเกอร์ในเมืองกัลกัตตาฝึกเรียนทำอาหารไทยด้วย ทั้งนี้ สถานกงสุลใหญ่ฯ จะศึกษาลู่ทางการร่วมมือกับฟู๊ดบลอกเกอร์เพื่อนำไปสู่การเผยแพร่คอนเท้นท์เกี่ยวกับอาหารไทยและนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ ๆ จากผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในกลุ่มตลาดคนอินเดียรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น         

 

* * * * *

 

แหล่งข้อมูล

  1. https://www.vikhrolicucina.com/uploads/pdf/GFTR2023.pdf
  2. https://hospitality.economictimes.indiatimes.com/news/speaking-heads/trends-and-happenings-in-the-food-beverages-segment-in-2023-and-the-prospects-for-2024/106300783